12 สถานที่ศักสิทธิ์ ใน ญี่ปุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้ การท่องเที่ยว ท่องโลก ไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆครับ ไม่ว่าที่ไหนบนโลกนี้ ล้วนมีสถานที่ศักสิทธิ์ให้ได้ไปเที่ยว ไปขอพร ให้กับตัวเอง แต่ละสถานที่ก็จะมีศิลปะวัฒนธรรมต่างกันไป อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นมีศิลปะวัฒนธรรมที่โดดเด่น และมีนักท่องเที่ยววนเวียนเข้ามาเที่ยวอย่างแพร่หลาย และสถานที่ศักสิทธิ์คือหนึ่งสถานที่ที่ต้องไปเมื่อได้มาเยือนที่ ญี่ปุ่น เช่น วัด ปราสาท ต่างๆ วันนี้แอดมินจะมาบอก 12 ถานที่ศักสิทธิ์ ในญี่ปุ่นที่คุณอาจไม่เคยรู้
1. ปราสาทคุมาโมโต้ (Kumamoto Castle)
ปราสาทคุมาโมโต้ (Kumamoto Castle) นับเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองคุมาโมโต้เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แต่เพียงระดับจังหวีดนะคะแต่ปราสาทแห่งนี้ยังถือเป็นหนึ่งในปราสาทที่น่าประทับใจที่สุดของ ญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้โด่งดังมากๆก็น่าจากความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมที่มีความหลากหลายและครบถ้วนของอาคารในพื้นที่ของปราสาท พื้นที่เนี่ยเรียกได้ว่ากว้างขวางอาณาเขตกินบริเวณใหม่มากๆภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ของปราสาทมีอาคารหลายหลังที่น่าสนใจ เช่นพระราชวังฮอนมารุ โกเทน(Honmaru Goten)ที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมที่ถูกทำลายไปโดยใช้แบบ วิธีการก่อสร้างและวัสดุเหมือนเดิมทุกอย่าง ยกเว้นขนาดที่เล็กลงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมี หอคอยปราสาท ที่เก็บอาวุธ ล่องน้ำ และทางเดินใต้ดินที่เชื่อมไปยังพระราชวังด้วย
ปราสาทแห่งนี้คาดว่าน่าจะถูกสร้างประมาณปี ค.ศ. 1607 ได้ ตัวอาคารหลายๆส่วนนั้นถึงแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่อาคารที่เป็นอาคารเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยที่เริ่มสร้างปราสาทแต่อาคารใหม่ๆที่สร้างขึ้นล้วนสร้างขึ้นแบบพิถีพิถันเน้นรักษารายละเอียดให้เหมือนเดิมที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวปราสาทที่งดงามเท่านั้นนะคะ บริเวณรอบๆปราสาทยังมีต้นซากุระอยู่ประมาณ 800 กว่าต้น และนั่นทำให้ปราสาทคุมาโมโต้เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองคุมาโมโต้เลยทีเดียว สีสันอย่างหนึ่งของปราสาทที่สร้างความคึกคักให้มากๆเลยก็มาจากการมีเหล่า ซามูไร นินจา และหญิงสาวสูงศักดิ์ ที่แต่งตัวและแอ็คท่าเต็มรูปแบบเหมือนหลุดออกมาจากยุคเอโดะ จะเดินไปมาให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกันด้วย บอกได้เลยว่าอินฟินเว่อร์
2. ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)
ปราสาทนาโงย่า (Nagoya Castle) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญแห่งเมืองนาโกย่า(Nagoya) ที่ถ้ามาเมืองนี้แล้วต้องมาแวะปักหมุดให้ได้ แม้โครงสร้างบางส่วนที่ได้รับการปรับปรุงให้แข็งแรงขึ้นมาไม่ได้มีเพียงแค่โครงสร้างเดิมล้วนๆ แต่รับรองว่าเค้าอนุรักษ์บรรยากาศแบบโบราณๆได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังจะมีพิพิธภัณฑ์ สวนหย่อม และจุดชมธรรมชาติสวยๆให้ดูด้วยนะคะ เรียกได้ว่ามาแวะชิลกันได้ยาวๆเลยทีเดียว
ปราสาทแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นในยุคเริ่มต้นสมัยเอโดะ อาคารปราสาทส่วนใหญ่ถูกทำลายในการโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1945 ต่อมาได้รับการฟื้นฟูสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กในปี ค.ศ.1959 จนมาถึงปัจจุบัน ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัย จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปราสาท สวนหย่อมรอบปราสาทแบ่งเป็น 2 ชั้น คือคูเมือง และกำแพงป้อมปราการ ซึ่งเป็นจุดชมดอกซากุระบานในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน ด้วยความที่หลายๆอย่างทำให้ต้องมีการปรับปรุงตัวปราสาทอีกครั้งเพื่อความมั่นคงและงดงาม ในปี ค.ศ.2009 ได้เริ่มโครงการสร้างปราสาทขึ้นมาใหม่ โดยใช้วัสดุก่อสร้างและเทคนิคการสร้างแบบดั้งเดิม ส่วนแรกที่เริ่มสร้างคือทางเข้าและห้องโถงหลัก ตกแต่งด้วยประตูบานเลื่อนวาดด้วยภาพสวยงาม และเปิดให้เข้าชมในปี 20013 ส่วนอื่นๆที่เหลือจะเปิดในปี 2016 และ 2018 ตามลำดับ ซึ่งปีนี้ก็น่าจะได้ดูครบทุกส่วนกันแล้วล่ะค่ะ ดังนั้นมาปีนี้นับได้ว่าคุ้มสุดๆแล้ว
3. ปราสาทวากายามะ (Wakayama Castle)
ปราสาทวากายามะ (Wakayama Castle) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองวากายามะ ประเทศ ญี่ปุ่น ตั้งอยุ่บนเนินเขา ภายในมีส่วนประกอบต่างๆตามรูปแบบของปราสาทดั้งเดิมเอาไว้อยู่หลายส่วน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ทีหลัง แต่ก็เน้นที่ความคล้ายคลึงกับของเดิม เช่น ตัวหอคอยปราสาทเป็นการสร้างขึ้นใหม่เพราะหอคอยเดิมถูกทำลายไปในช่วงสงครามกลางเมืองไปแล้ว มีคูน้ำและสวนขนาดใหญ่ล้อมรอบ เดินทางมาได้ง่ายๆจากสถานีรถไฟ JR Wakayama Station พูดง่ายๆคือเป็นปราสาทที่อยู่เกือบจะกลางเมืองกันเลยทีเดียว
Wakayama Castle นั้นสร้างขึ้นในยุคเอโดะโดย Toyotomi Hideyoshi ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1585 แต่ตกเป็นของ Tokugawa Ieyasu ในเวลาต่อมา ผ่านยุคสมัยของสงครามมาหลายครั้ง แต่ครั้งที่ปราสาทเสียหายอย่างหนัก รวมถึงหอคอยปราสาทถูกทำลายลงด้วยคือในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945
ปราสาทวากายามะ มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประตูเก่าดั้งเดิม กำแพงเมือง คูน้ำ หอคอยที่แม้จะสร้างขึ้นใหม่แต่ก็ยังดูสวยงาม รวมถึงสะพาน Ohashi Roka ที่ข้ามคูน้ำเชื่อมระหว่างสองส่วนของพื้นที่ปราสาทซึ่งมีความสูงต่างกัน และก็เหมือนกับปราสาทอื่นๆคือ ที่นี่เป็นจุดชมซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของเมืองนี้ด้วย
4. ปราสาทโอซาก้า (Osaka castle)
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) แลนด์มาร์กอันหนึ่งของเมืองโอซาก้าที่ไม่ว่าใครก็ต้องมาเยือนไม่อย่างนั้นเหมือนมาไม่ถึง นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเมื่อมาเยือนยังเมืองโอซาก้าที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เฉพาะระดังขังหวัด มีชื่อเสียงระดับประเทศ ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาทที่มีถึง 8 ชั้น ห้อมล้อมด้วยกำแพงหิน คูน้ำ ไปจนถึงสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden)ที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ มองแล้วดูตัดกับความเป็นเมืองทันสมัยที่อยู่รายล้อมจากตึกอาคารทันสมัย ทำให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปราสาทโบราณที่หลุดเข้ามาในยุคปัจจุบันอย่างไงอย่างนั้น โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลินี่คนเยอะมากๆ เนื่องจากตัวสวนที่มีต้นซากุระมากกว่า 600 ต้นเวลาผลิบานพร้อมๆกันนี่นับว่าเป็นการเพิ่มระดับความงดงามขับให้ตัวปราสาททวีความงามที่แฝงความอ่อนหวานที่งามไม่เหมือนใคร
แต่เดิมเนี่ยพื้นที่ที่สร้างปราสาทเคยเป็นที่ตั้งของวัดอิชิยาม่า ฮอนกันจิ (Ishiyama Honganji Temple) แต่หลังจากที่ถูกโอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga)ทำลายลง หลังจากนั้นประมาณ 30 ปีในปี ค.ศ.1583 ก็ได้มีการสร้างปราสาทโอซาก้าขึ้นทดแทน ผู้ที่สร้างอย่างท่านโทโยมิ ฮิเดะโยชินั้นมีเจตนาให้เป็นดังศูนย์กลางแห้งใหญ่ของญี่ปุ่น จนกลายเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในขณะนั้น แต่หลังจากที่ท่านโทโยมิ ฮิเดะโยชิเสียชีวิตลงไม่นาน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจากการโดนโจมตีจากโทคุกาว่า แม้จะมีการปรับปรุงสร้างใหม่ในปีค.ศ. 1620 อีกครั้ง ก็ยังจะเกิดฟ้าผ่าทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนักในส่วนของหอคอย แต่ด้วยความตั้งใจจะอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าจึงได้มีการบบูรณะมาเรื่อยๆ จนถึงในปัจจุบันที่มีการสร้างลิฟต์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม
หากต้องการจะมาที่ปราสาทก็สามารถมาได้ง่ายที่สุดด้วยวิธีการนั่งรถไฟใต้ดินหรือ JR มาลงสถานี Morinomiya เดินเท้าอีกเพียงไม่นานก็ถึง แนะนำให้มาช่วงเช้าๆนะคะเพราะคนยังไม่เยอะมากนัก จะได้เดินเที่ยวได้นานๆไม่ต้องเบียดเสียดหรือหามุมถ่ายรูปสวยๆยาก แถมจะได้เดินทอดน่องเพลินๆบริเวณสวนรอบๆปราสาทได้ยาวๆไม่ต้องเร่งรีบใดๆ แถมท้ายให้กับแผนที่บริเวณรอบๆปราสาทโอซาก้า
Klook.com5. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle, 姫路) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิเมจิในจังหวัดเฮียวโงะ นับเป็นปราสาทดั้งเดิมที่เหลืออยู่มีทั้งหมด 12 แห่งในญี่ปุ่น ยิ่งภายหลังปราสาทฮิเมจิเพิ่งจะผ่านการรีโนเวทครั้งใหญ่มาเมื่อปี 2015 ทำให้สภาพของปราสาทตอนนี้สวยงามและสมบรูณ์มากยิ่งขึ้นไปอีก จนได้รับการยอมรับว่าเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ และเป็น 1 ใน 4 ปราสาทที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นร่วมกับปราสาทอีกสามแห่งอย่าง Matsumoto Castle, Inuyama Castle และ Hikone Castle) เห็นจากการได้รับการการันตีทั้งระดับประเทศไปจนถึงระดับสากลนี่บอกได้เลยว่าปราสาทแห่งนี้ต้องไม่มีคำว่าธรรมดาอย่างแน่นอน
ในยุคสงครามที่มีทั้งการเผาและทำลายสิ่งปลูกสร้างสำคัญๆทั่วทั้งญี่ปุ่นนั้น เชื่อหรือไม่คะว่าปราสาทฮิเมจิเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่รอดพ้นจากการถูกทำลายรูปแบบต่างๆมาได้ ขนาดแผ่นดินไหวปราสาทแห่งนี้ก็ยังไม่สะเทือน เนื่องจากปราสาทนี้ยังไม่เคยถูกทำลายมาก่อนทำให้ยังคงรูปแบบดั้งเดิมของตัวปราสาทเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งมาภายหลังมีการบูรณะปรับปรุงปราสาทยิ่งทำให้ปราสาทฮิเมจิยิ่งกลายเป็นสถานที่ที่ทั้งงดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แบบมากถึงมากที่สุดกันเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่ได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1400 คืดดูนะคะว่าอยู่ยั้งยืนยงมาเนิ่นนานขนาดไหน ถ้าเป็นคนนี่จะเรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ก็ไม่ผิดจากนั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมการสร้างแบบดั้งเดิมที่เป๊ะปังมาเป็นหลายร้อยปีเท่านั้นปราสาทฮิเมจิยังได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางไม่ใช่เล่นๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาถึงจะผ่านประตู Otemon เดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอกับสวนที่มีต้นซากุระมากมายทั่วทั้งบริเวณ จนกลายมาเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของปราสาทฮิเมจิคู่กับต้นซากุระที่บอกเลยว่ารูปถ่ายออกมาสวยเว่อร์วังอลังการมากๆ ภายในยังมีอาคารน้อยใหญ่อยู่ภายในมากถึง 80 อาคารที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด มีกำแพงและประตูกั้นแต่ละส่วน นอกจากนั้นที่สุดทางเดินจะเจอกับตู้ขายตั๋วสำหรับเข้าไปในบริเวณของปราสาทชั้นใน ภายในปราสาทจะมีบันไดแคบๆสำหรับเดินขึ้นและลง ที่ชั้นบนสุดของหอคอยปราสาทจะมีช่องสำหรับดูวิวได้รอบทิศทางแบบ 360 องศาดูกับแบบพาโนราม่ากันไปเลย ซึ่งส่วนตรงนี้เองทำให้มองเห็นอาณาบริเวณของปราสาททั้งหมดและยังสามารถมองไกลออกไปจนเห็นตัวเมืองฮิเมจิอีกต่างหาก เป็นอีกหนึ่งปราสาทสุดจะเพอร์เฟคที่แนะนำว่าควรมากเช็กอินกันให้ได้เลย
6. วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji)
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) ที่คนไทยทั่วไปรู้กันในชื่อว่าวัดทองนั่นเอง สาเหตุที่คนส่วนมากเรียกวัดนี้ว่าวัดทองนั่นก็เพราะว่าอาคารหลักของวัดนี้มีสีทองเหลืองอร่ามตั้งโดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางน้ำ เวลามองภาพสะท้อนก็กลายเป็นภาพที่งดงามไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าดังขนาดกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์หนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต จริงๆแล้วมีอีกชื่อนึงที่เป็นที่รู้จักของคนท้องถิ่นนั่นก็คือ “วัดโระคุงอนจิ (Rokuon-ji Temple)” ที่แปลว่าวัดสวนกวาง และด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามล้ำค่านี่เองจึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกในปี ค.ศ. 1994
เดิมทีนั้นวัดแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่พำนักของท่านโชกุนอาชิกาก้า โยชิมิสุ (Ashikaga Yoshimitsu) และยังมีไว้เพื่อรับรองแขกระดับสำคัญๆเท่านั้น ภายหลังที่ท่านเสียชีวิตก็มีการยกที่พักแห่งนี้ให้กลายมาเป็นวัดในนิกายเซน ซึ่งก็กลายมาเป็นวัดวัดคินคะคุจิอย่างปัจจุบันนี่เอง และด้วยความงดงามตระการตาจึงกลายมาเป็นต้นแบบของวัดวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินที่ถูกสร้างโดยหลายชายของโชกุนในต่อมา
ไม่ใช่แค่เพียงอาคารหลีกสีเหลืองทองตรงมุมด้านหน้าใกล้กับทางเข้าวัดซึ่งเป็นภาพที่วัดสีทองอร่ามที่มีสวนอยู่โดยรอบเป็นเงาสะท้อนกับน้ำในสระเท่านั้นนะคะที่น่าสนใจ แต่ส่วนต่างๆภายในวัดก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว เนื่องจากวัดคินคะคุจิมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม บรรยากาศรอบๆก็มีความร่มรื่นและถูกตกแต่งอย่างมีสไตล์โบราณแบบญี่ปุ่นอีกผลักดันให้กลายเป็นวัดที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวมากๆ แทบจะดูไม่ออกเลยว่าอาคารหลายๆส่วนนั้นเคยถูกเผาทำลายในช่วงสงครามโอนิน (Onin ) ในปี ค.ศ. 1950มาแล้ว เนื่องจากมีการบูรณะก่อสร้างวัดขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1955 นั่นเอง ฉะนั้นมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะครับ
7. วัดคิโยะมิซุ ( Kiyomizu) หรือ วัดน้ำใส
วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)หรือที่เราๆรู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส นับเป็นวัดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นวัดที่พูดได้เลยว่าดังที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ผิด เนื่องจากการที่วัดมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามชวนตะลึงจนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 780 แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเอง จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่แค่การสร้างก็น่าทึ่งแล้ว เพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สุดยอดเลยจริงๆ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
Klook.com8. วัดอาซากุสะ (Asakusa)
วัดเซนโซจิ(Sensoji Temple) ที่มีหลายๆชื่อที่คนนิยมเรียกขานกันทั้งวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะและ) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย บอกเลยว่านักท่องเที่ยวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีใครไม่รู้จักวัดนี้แน่นอน ยิ่งในหมู่คนไทยแล้วล่ะก็เรียกได้ว่าถ้าไปโตเกียวต้องไปแวะเจิมวัดนี้แทบจะทุกคน โดยภาพส่วนใหญ่ก็จะเห็นแชะๆภาพพื้นหลังเป็นโคมแดงอันใหญ่ๆที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์สำคัญมากๆของวัดแห่งนี้เลยทีเดียว ความนิยมเห็นง่ายๆเลยจากการที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอกแบบไม่ขาดสาย
วัดที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่มากที่สุดของเมืองโตเกียวแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเสร็จเมื่อประมาณปี ค.ศ. 645 ตามตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณปี 628 สองพี่น้องได้ออกเรือไปตกปลา และตกรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทิ้งรูปปั้นกลับลงสู่แม่น้ำเท่าไหร่ก็ตาม รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมก็จะกลับมาหาพวกเขาอยู่เสมอ จึงได้มีการสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม และกลายมาเป็นวัดที่ฮอตฮอตอันดับหนึ่งของเมืองโตเกียวอย่างในปัจจุบันนี่เอง
9. ศาลเจ้าคุมาโนะ นาชิ (Kumano Nachi Taisha)
ศาลเจ้าคุมาโนะ นาชิ(Kumano Nachi Taisha) นับเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีความสำคัญและโดดเด่นมากที่สุดของเมืองคุมาโนะ โดยเฉพาะทำเลนี่บอกได้เลยว่าเฉียบมากมายเพราะอยู่ใกล้ๆกับบ่อน้ำพุร้อนที่เรียกได้ว่าแช่น้าพุร้อนเสร็จปุ๊บยังสามารถเดินชิลล์มาเที่ยวศาลเจ้าได้อีกต่อหนึ่ง ไฮไลท์ของที่นี่ที่บอกได้เลยว่าพีคมากนั่นก็เป็นบริเวณศาลเจ้าสีแดงหลายชั้นที่เบื้องหลังมีน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูงถึง 133 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของศาลเจ้าคุมาโนะที่แขกไปใครมาต้องแวะมากันทุกวัน ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้นั้นเป็นส่วนผสมการสร้างที่ลงตัวอย่างมากระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาชินโต เรียกได้ว่าจับแต่ข้อดีข้อเด่นมามิกซ์กันแบบดีงามสุดๆ ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่เป็นแลนด์มาร์กอันดับต้นๆของเมืองคุมาโนะ
10. ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari)
ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Shrine) ที่คนไทยทั้งหลายชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) ถ้าจะพูดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ฮอตฮิตมากที่สุดก็ เห็นได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ต่างๆจะต้องมีภาพของที่นี่ให้เห็นอยู่เสมอ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่เสาประตูสีแดงแล้วนั้นตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้ง Romon Gate ทางด้านหน้า และตัวอาคารหลักที่เรียกว่า Honden และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง กระจายกันอยู่รอบๆบริเวณ และทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ โดยเสาโทริอิสีแดงนั้นก็ล้วนมาจากการบริจาคจากส่วนต่างๆทั้งจากบุคคลและองค์กรเลยน่ะค่ะ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ไม่เพียงแค่ส่วนหลักๆที่น่าสนใจเท่านั้น ระหว่างทางยังจะได้เห็นศาลเจ้าเล็กๆอยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งเสาโทริอิแดงเล็กๆก็มีให้เห็นกันด้วยซึ่งก็มาจากคนทั่วไปที่แหล่ะค่ะที่จะบริจาคเล็กๆน้อยๆ นอกจากนั้นถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาคารท้องถิ่นและร้านขนมที่ขายอาหารแบบชุด แต่มีความพิเศษอยู่ตรงที่จะมีการตั้งชื่อให้เข้าธีมจิ้งจอกอย่างซูชิจิ้งจอกหรืออูด้งจิ้งจอก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมายังมักจะนิยมเดินเที่ยวชมภูเขาอินาริแค่ถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า ทางแยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji intersection) เพื่อสามารถชมวิวเมืองเกียวโตงามๆและสูดอากาศสดชื่นได้เต็มปอดไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าจะเดินให้ทั่วทั้งภูเขาแล้วเนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว
11. ศาลเจ้าเมจิ (Meji Shirne)
ศาลเจ้าเมจิ ฮาราจูกุ(Meiji Jingu)ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station)มากที่สุด แต่เอาจริงๆแล้วก็ใกล้ทั้งสองสถานทีอย่าง Harajuku Station และ Yoyogi Station แบบว่าถ้าจะเดินก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที การที่บริเวณที่ตั้งอยู่ติดกับสวนโยโยกิ (Yoyogi Park)ในโตเกียว ซึ่งนั่นก็ทำให้รอบๆบริเวณของศาลเจ้านั้นแลดูจะร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อม เรียกได้ว่าขนาดมาในช่วงเที่ยงๆของฤดูร้อนก็ไม่ร้อนขนาดรอบนอกๆ โดยสามารถเข้าได้ทั้งสองทาง บริเวณทางเข้าจะมีเสาโทริอิขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า เมื่อเดินผ่านเสาเข้ามาจะเป็นป่าใจกลางเมือง มีต้นไม้อยู่มากถึง 1 แสนต้น หรือที่เรียกกันว่า Meiji Jingu’s forest เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในจะรู้สึกสงบแตกต่างจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว เป็นอะไรที่เหมาะกับคนที่มองหาศาลเจ้าซักแห่งที่แม้จะอยู่ย่านใจกลางเมืองแต่ก็ให้บรรยากาศที่สงบร่มเย็นประหนึ่งอยู่ชานเมืองอย่างไรอย่างนั้น
ศาลเจ้าเมจิแห่งนี้บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งในศาลเจ้าที่โด่งดังมากๆของโตเกียวก็ว่าได้ ยิ่งช่วงเทศกาลปีใหม่นี่พีคมากๆเพราะจะมีผู้คนเดินทางมาสักการะเป็นจำนวนมาก มากนี่ไม่ใช่ไก่กานะคะแต่น่าจะราวๆประมาณ 3 ล้านคนตลอดทั้งช่วงนั้น เพื่อมาส่วนมนต์แรกของปี (hatsumode) โดยศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิและพระมเหสีในยุคสมัยก่อน ภายหลังเมื่อในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ศาลเจ้าเมจิได้ถูกทำลายลง แต่ก็ได้มีการบูรณะและสร้างขึ้นมาใหม่จนถึงปัจจุบันนี้ จากความศักดิ์สิทธิ์และบรรยากาศทั้งหลายที่เต็มไปกลิ่นอายมนตร์ขลังจึ้งทำให้ยังเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในการจัดงานแต่งงานแบบชินโตดั้งเดิมมากๆเลยทีเดียว เรียกได้ว่าถ้ามาแล้วโชคดีอาจจะได้เห็นพิธีการหรือบ่าวสาวที่แต่งชุดแต่งงานสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆก็เป็นได้
Klook.com12. วัดโทไดจิ (Todaiji)
วัดโทไดจิ(Todaiji) มีชื่อเรียกหลายๆชื่อที่คนทั่วไปมักจะเรียกขานกันทั้ง วัดหลวงพ่อโตแห่งเมืองนารา หรือ ไดบุตสึ(Daibutsu of Nara) ไม่ได้เป็นแค่วัดดังของจังหวัดนาราเท่านั้น บอกได้เลยว่าวัดนี้นั้นชื่อเสียงความโด่งดังนี่ระดับประเทศญี่ปุ่น นับเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นอย่างมากก็ว่าได้ จุดที่มาแล้วต้องมาชมให้ได้นั่นก็เป็น อาคารหลักของวัดแห่งนี้นั่นเอง บอกเลยว่าอาคารไม้หลังนี้ไม่ธรรมดานะคะเพราะว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียวเชียว ซึ่งที่เห็นๆในปัจจุบันที่ว่าใหญ่แล้วหากจริงๆแล้วอาคารหลังนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของอาคารดั้งเดิมเท่านั้นเอง นี่นึกภาพตามว่าถ้ามีขนาดเท่าของเดิมจะยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างขนาดไหน สิ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆไม่แพ้กันและยังเป็นที่เคารพอย่างมากสำหรับชาวญี่ปุ่นนั่นก็คือ หลวงพ่อโตหรือ ไดบุตสึเดนที่ประดิษฐานด้านในอาคารหลักนี่แหล่ะ ซึ่งก็เรียกได้ว่ามีขนาดที่ใหญ่มากที่สุดของญี่ปุ่นเลย มีความสูงมากถึง 15 เมตรรับรองว่าเห็นของจริงนี่ต้องตกตะลึงในความใหญ่โตของหลวงพ่อโตกันแน่ๆ
วัดแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 752 บอกเลยว่าช่วงยุคนั้นวัดโทไดจินี่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของวัดทั้งหมดในประเทศ แถมยังทั้งโด่งดังและเต็มได้อิทธิพลเป็นอย่างมากในยุคนั้น เพื่อลดบทบาทและอิทธิพลของวัดต่อรัฐบาลลง จึงได้มีการย้ายเมืองหลวงจากนาราไปยังนากาโอกะในปี ค.ศ. 784 นั่นเอง อีกจุดไฮไลท์ที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมอย่างมากก็คือ ส่วนของเสาร์ไม้ยักษ์ ซึ่งฐานขนาดรอบเสาร์นี้มีขนาดเท่ากันรูจมูกของหลวงพ่อโต และด้านล่างของเสาร์จะเป็นช่องขนาดไม่ใหญ่มาก มีความเชื่อว่าหากใครสามารถรอดผ่านช่องนี้ไปได้ก็จะสามารถตรัสรู้ได้ในชาติหน้า ด้านตรงประตูทางเข้านั้นจะเป็นไม้บานขนาดใหญ่ ที่มองปุ๊บจะเห็นรูปปั้นเฝ้าอยู่ทั้งสองประตู และที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับสาวๆไปจนถึงเด็กน้อยทั้งหลายก็ต้องเจ้ากวางน้อยใหญ่ที่เดินควักไขว่ไปมา ซึ่งก็สามารถให้อาคารกวางเหล่านั้นด้วยขนมแซมเบ้ที่ทำมาสำหรับกวางโดยเฉพาะ โดยหาไม่ยากเลยนะคะเดินไปก็จะเจอหลายๆร้านที่ขายราคาก็จะอยู่ประมาณห่อละ 150 เยน บอกเลยว่าเป็นวัดที่มากกว่าวัดไม่ว่าจะผู้ใหญ่ที่อยากมาดูวัดที่รวมความเป็นที่สุดหลายๆด้าน รวมถึงเด็กๆที่อยากมาสัมผัสความน่ารักของเหล่ากวางน้อยรับรองว่าไม่มีคำว่าผิดหวังแน่ๆ
ขอบคุณข้อมูล. talonjapan