หอนาฬิกาบิ๊กเบน (Big Ben) เป็นสถานที่ของการจุดประกายของประชาธิปไตย สัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน มีอายุครบ 160 ปีแล้ว บิ๊กเบน ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “มหาระฆังแห่งหอคอยเอลิซาเบธ” (Great Bell of the Elizabeth Tower) เริ่มตีเสียงก้องกังวานให้ชาวกรุงลอนดอนได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 1859 เชื่อกันว่าชื่อ “บิ๊กเบน” ถูกเรียกกันเล่น ๆ ตามชื่อของเซอร์เบนจามิน ฮอลล์ ผู้ควบคุมการติดตั้งมหาระฆังในขณะนั้น และ หอนาฬิกาบิ๊กเบน (Big Ben) นี้ไม่ได้ตั้งตรง แต่มันเอียงประมาณ 0.04 องศา ซึ่งหากมองโครงสร้างภายนอกดีๆ ก็จะสังเกตเห็นว่าหอคอยนี้จะเอียง
หอนาฬิกาบิ๊กเบน เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
หอนาฬิกา บิ๊ก เบน ถูกขนมายังลอนดอนด้วยพิธีการยิ่งใหญ่ มันถูกขนด้วยเรือก่อนจะใช้รถเทียมม้าขาวถึง 16 ตัว ขนข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์ อย่างไรก็ตาม หอนาฬิกา บิ๊ก เบน ใบแรกเกิดรอยร้าวระหว่างการทดสอบในเดือนตุลาคม 2400 จึงต้องมีการหล่อระฆังใบที่ 2 มาเปลี่ยนด้วยฝีมือของ จอร์จ เมียร์ส จากโรงหล่อ ไวท์ชาเปล ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนเมษายน 2401 โดยผสมชิ้นส่วนของระฆังใบแรกเข้าไปด้วย และ ระฆังบิ๊ก เบน ในปัจจุบันมีน้ำหนักถึง 13.7 ตัน สูงถึง 2.2 เมตร และ มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2.7 เมตร ส่วนที่ลูกตุ้มระฆังมีน้ำหนักถึง 200 กิโลกรัม เวลาเคาะจะทำเสียงดนตรีโน้ต อี (E) และบริเวณที่ใต้บิ๊ก เบนยังมีระฆังขนาดเล็กอีก 4 ใบ ซึ่งลั่นทุก 15 นาที โดยจะทำเสียงตัวโน้ต จี ชาร์ป, เอฟ ชาร์ป, อี และ บี ที่หน้าปัดนาฬิกาแต่ละด้านของ หอคอยเอลิซาเบธ ได้รับแสงสว่างจากหลอดไฟประหยัดพลังงาน 28 ดวง ซึ่งมีอายุการใช้งานดวงละประมาณ 60,000 ชั่วโมง
หอนาฬิกาบิ๊กเบน (Big Ben) มีความสูง 96 เมตร หรือ 318 ฟุต และประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ อีก 11 ชั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ตั้งอยู่ใจกลาง ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นอกจากหอนาฬิกา แห่งนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่คนทั่วโลกรู้จัก และเป็นหนึ่งในอาคารที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในสหราชอาณาจักรแล้ว เสียงระฆังที่ก้องกังวานของบิ๊กเบน ยังถูกนำมาเปิดก่อนเข้ารายการข่าวของสถานีวิทยุบีบีซีอีกด้วย หอนาฬิกาบิ๊กเบน ได้ลั่นบอกเวลาอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อ 11 กรกฎาคมปี 2402 แต่ก็ใช้งานได้ไม่นานเมื่อได้เกิดรอยร้าวขึ้นมาในเดือนกันยายน ทำให้มันต้องเงียบเสียงไปนาน 4 ปี และมีการแก้ปัญหาโดยหมุนระฆังไปประมาณ 90 องศาตามเข็มนาฬิกาเพื่อเปลี่ยนจุดเคาะ และใช้ลูกตุ้มเคาะระฆังที่มีขนาดเล็กลง
Klook.comปัจจุบัน หอนาฬิกาบิ๊กเบน อยู่ระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่เคยมีมา ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2017 และมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2021 โดยใช้งบประมาณเกือบ 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท)
ขอบคุณข้อมูล จาก : บีบีซี
นอกจากสถานที่อันลือชื่ออย่างหอนาฬิกาบิ๊กเบนและรัฐสภาของประเทศอังกฤษ จากจัตุรัสรัฐสภา ถึงย่านไวท์ฮอลล์เรียงราย ไปด้วยอาคารรัฐบาลหลายแห่งที่มีชื่อเป็นชื่อเดียวกันกับรัฐบาลอังกฤษจึงนับว่าเป็นอีกทริปหนึ่ง ที่ไม่สามารถจะพลาดไปได้อย่างแน่นอน
ในปัจจุบันภายในหอนาฬิกานี้ ไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เว้นแต่สำหรับผู้ที่อาศัยในประเทศอังกฤษ จะต้องทำเรื่องขอเข้าชมผ่านสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ ประจำท้องถิ่นของตน ถ้าเป็นเด็กต้องมีอายุเกิน 11 ปี จึงจะเข้าชมหอได้ สำหรับชาวต่างประเทศนั้นไม่อนุญาตให้ขึ้นไป ทั้งนี้ผู้ชมต้องเดินบันได 334 ขั้นขึ้นไปเพราะไม่มีลิฟต์
การเดินทาง :
หอนาฬิกาบิกเบนมาง่ายๆมากเลย ด้วยรถไฟฟ้า Underground สถานี Westminster เดินออกมาข้ามถนนก็ถึง และ จุดยอดฮิตที่ต้องมาถ่ายรูปคือ หอนาฬิกาบิ็กเบน และ อาคารรัฐสภา ริมแม่น้ำเทมส์ โดยถ่ายจากบนสะพาน Westminster
ฤดูกาลและสภาพอากาศของอังกฤษ
สำหรับฤดูกาลโดยทั่วไปของอังกฤษ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง 4 ฤดูในหนึ่งวันอีกด้วย นั่นก็เพราะในบางวันที่ลอนดอนจะมีทั้งแดดออก ฝนตก หนาวเย็นและอบอุ่นสลับกันไป ซึ่งหากใครที่ภูมิต้านทานไม่ดีหรือเป็นโรคภูมิแพ้อากาศก็อาจเจ็บป่วยได้ง่ายกันเลยทีเดียว โดยสามารถแบ่งฤดูกาลได้ดังตามด้านล่างนี้ ซึ่งเราจะมีบอกอุณภูมิโดยเฉลี่ยของทั้งเดือนนั้นเอาไว้ด้วย ซึ่งอากาศในช่วงกลางวันจะอบอุ่นกว่าค่าเฉลี่ยได้ 5-10 องศา และอากาศในตอนกลางคืนจะหนาวเย็นกว่าได้ประมาณ 5 องศา
1.ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงได้บ่อยที่สุด คืออาจมีทั้งอากาศอบอุ่น แสงแดดจัด หนาวเย็นและฝนตกสลับกันไป หรือสภาพอากาศเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในวันเดียวกันเลยก็ได้ ซึ่งทั้งนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะอยู่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม นั่นเอง
- เดือนมีนาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาเซลเซียส
- เดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 11 องศาเซลเซียส
- เดือนพฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 14 องศาเซลเซียส
2. ฤดูร้อน สภาพอากาศจะมีความอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ และมีแสงแดดส่องตลอดวัน แต่หากเทียบกับบ้านเราแล้ว ฤดูร้อนของลอนดอนก็เหมือนกับฤดูหนาวของเมืองไทยเรานั่นเอง โดยช่วงฤดูร้อนก็จะอยู่ในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม และยังเป็นช่วงที่กลางวันยาวนานมาก บางช่วง 2 ทุ่มกว่าแล้วเพิ่งจะเริ่มมืด โดย
- เดือนมิถุนายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 16 องศาเซลเซียส
- เดือนกรกฎาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส
- เดือนสิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซียส
3. ฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นลงมามากกว่าปกติ แต่ก็ให้ความสวยงามและบรรยากาศที่น่าเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว โดยช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน โดย
- เดือนกันยายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส
- เดือนตุลาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 13 องศาเซลเซียส
- เดือนพฤศจิกายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10 องศาเซลเซียส
4. ฤดูหนาว เป็นฤดูที่มีหิมะตก เหมาะกับการท่องเที่ยวสำหรับคนที่อยากสัมผัสกับหิมะเป็นที่สุด แต่จะมีหิมะตกบางพื้นที่เท่านั้น และกลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวันอีกด้วย หรือกล่าวง่ายๆก็คือช่วงนี้จะมืดเร็วกว่าปกตินั่นเอง บางช่วงยังไม่ 5 โมงเย็นก็จะเริ่มสลัวๆแล้ว ซึ่งช่วงฤดูหนาวก็จะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมาพันธ์ โดย
- เดือนธันวาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส
- เดือนมกราคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส
- เดือนกุมภาพันธ์ มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 7 องศาเซลเซียส
ถ้าถามว่าช่วงไหนเหมาะกับการไปเที่ยวอังกฤษที่สุด เพราะประเทศอังกฤษมีสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี จึงสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ทุกช่วงเวลาไม่ว่าเดือนไหนหรือฤดูกาลไหนก็ตาม แต่หากคุณอยากไปท่องเที่ยวท่ามกลางหิมะตกก็จะต้องไปในช่วงฤดูหนาวนั่นเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะไปเที่ยวช่วงไหน ก็อย่าลืมเช็คสภาพอากาศและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการท่องเที่ยวกันด้วย ที่สำคัญมีบินตรงด้วยนะครับ จากไทย
อัตราแลกเปลี่ยน
ค่าเงินโดยประมาณ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง เท่ากับ 40 บาทไทย , 100 ปอนด์สเตอร์ลิง เท่ากับ 4,000 บาทไทย ตรวจสอบเหรทเงินพร้อมและไปแลกเงินได้เลยคลิก https://www.superrich1965.com/home.php
สนใจเดินทางไปทั่วโลกกับหมีพอยท์ได้เลย คลิกที่นี่ https://povtravel.co.th/
Booking.com